Rainbow over me

Paring : Daniel x Minhyun

Rate : PG

#Nielminweekly : 2019 Week 8 : Café

 

 

 

 

 

 

 

Clouds come floating into my life, no longer to carry rain or usher storm,

but to add color to my sunset sky.

– Rabindranath Tagore –

 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางหยาดฝนร่วงจากฟากฟ้ามอบความชุ่มชื่น ชะล้างมวลความร้อนในอากาศของฤดูร้อน บนถนนสายเล็กของเมืองใหญ่ยังมีร่างสูงกำลังก้าวสับขายาวด้วยความเร็วไม่ไวนัก หลบเลี่ยงแอ่งน้ำบนพื้นที่สะสมจากฝนห่าใหญ่กระหน่ำตกลงมาในเวลาค่ำหลังเวลาเลิกงาน หยาดฝนกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เสื้อเชิ๊ตสีขาวเริ่มเปียกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนนึกเป็นห่วงแฟ้มงานพลาสติกสีเข้มที่ใช้บังเหนือศีรษะชั่วคราวตอนนี้ แม้คนขายจะเคลมว่าวัสดุจะกันน้ำแต่หากว่านานกว่านี้ก็อาจจะซึมโดนเอกสารข้างในได้

ไม่คิดเลยว่าวันที่แดดจัด ท้องฟ้าปลอดโปร่งจะมีฝนตกลงมาตอนเย็น แถมยังเป็นเวลาหลังเลิกงาน ในวันที่เขาไม่ได้พกร่มมาด้วยสิ ช่างประจวบเหมาะพอดี จนอยากเรียกว่าซวย อืม ก็เรียกว่าซวยได้เต็มปากนั่นแหล่ะ

 

คนแบบดลภัทร ซวยเสมอปลายจริงๆ 

 

 

 

คุณอาจจะนึกไม่ออกว่า ซวยสม่ำเสมอ มันคืออะไร ในที่นี้คือความซวยที่มักจะหาคุณทุกสัปดาห์ แม้ว่าจะเล็งแล้วว่าเท้าไหนควรก้าวออจากบ้าน หรือวันนั้นเสื้อสีมงคลสีอะไร ก็ยังไม่สามารถหยุดความอัปมงคลที่แล่นเข้ามาได้ อย่างเช่นเมื่อจันทร์ที่แล้วที่เขาต้องเอาเสื้อเชิ้ตตัวใหม่มาสังเวยแก่ขี้นกที่จู่ๆ ก็ตกลงมาตอนยืนกินน้ำอยู่หน้าเซเว่น ริมถนนกทม. ที่ต้นไม้ใหญ่ก็แทบไม่มี มันยังจะมาขี้โดนได้

หรืออย่างล่าสุดก็วันนี้ วันที่เขาออกมาพบลูกค้าด้วยความเร่งรีบ ไม่นึกเอะใจดูพยากรณ์อากาศในมือถือเหมือนอย่างที่เคยดูทุกที่ แดดร้อนจัดที่สาดมาให้เหงื่อไหลไปถึงซอกจั๊กแร้จนไม่นึกว่าจะมีฝนตกลงมา แต่ดันตกไม่ดูเวล่ำเวลา ช่วงหลังเลิกงานที่รถติด แล้วฝนตก แถมไม่มีร่ม นี่มันโคตรของโคตรซวย บรมซวย! แต่ช่วยไม่ได้ เหมือนว่าจะได้แค่ทำใจให้ชินได้แล้วเพราะคงไม่มีโชคดีเข้ามาอีกแล้ว

 

 

 

เสียงบอกสัญญาณเวลาครบชั่วโมงจากเครื่องบอกเวลาที่ข้อมูล บอกให้รู้ว่าเข้าทุ่มนึงไปแล้ว เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าฝนจะหยุดในเร็วๆ นี้แถมยังไม่มีแท็กซี่ผ่านมา สายตาสอดส่องมองหาที่พอจะหลบฝนชั่วคราวได้ ริมถนนในซอยเล็กๆ แบบนี้แทบจะไม่มีที่ให้พอหลบได้เลย ร้านค้าหลายร้านก็ปิดบ้างแล้ว มีแค่ชายคายื่นออกมาเล็กๆ ไม่พอจะหลบสายฝนที่กระหน่ำได้เลยสักนิด แต่พลันสายตาก็พบกับร้านขนาดเล็กที่เปิดไฟสว่างอยู่ในระยะสายตาไม่ไกลนัก ประเมิณชายคาที่คล้ายไว้กันแดดที่ยื่นออกมาคงพอให้หลบได้สักพักล่ะน่า  ตัดสินใจได้ดังนั้นก็ฮึดวิ่งฝ่าสายฝนอีกสักหน่อยโดยไม่สนใจว่าน้ำจะกระเซ็นจนรองเท้าหนังขัดเอี่ยมจะเลอะเทอะ หรือน้ำบนถนนกระเด็นโดนเสื้อผ้าเป็นด่างดวงแค่ไหน มุ่งหน้าร้านเล็กๆ ร้านเดียวที่พอจะพึ่งได้อยู่ตอนนี้

 

ดลสะบัดเสื้อที่เปียกแนบลำตัวออก พลางปัดแฟ้มพลาสติก กวาดตาดูคร่าวๆ แล้วเอกสารข้างในน่าจะปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่สายฝนเทกระหน่ำนี่สิไม่รู้เลยจะหยุดตอนไหน ร่างสูงล้วงมือถือออกมาเช็ค บนจอแสดงเวลาก็ปาไปเกือบสองทุ่มอยู่รอมร่อ หิวก็หิว แล้วก็เริ่มจะรู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อยๆ แล้วสิ

 

 

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงกระดิ่งดังไม่ไกล เพียงแค่หันมองขวามือก็พบที่มาของเสียงที่ประตูไม้สีเข้มที่เปิดอยู่ แสงไฟที่สาดออกมาทำให้รู้ว่าเป็นคนข้างในร้านที่ยืนอยู่

 

“คุณครับ”

 

“ครับ?”

 

“เข้ามาข้างในก่อนสิ”

 

 

 

 

 

 

หรือชีวิตเขาจะมีความโชคดีเข้ามาบ้างแล้ว?

 

 

 

 

 

 

 

 

…..

 

“โกโก้อุ่นๆ ครับ”

“ขอบคุณมากครับ”

ดลก้มหัวขอบคุณชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกันเปื้อนลายหมีสีฟ้าน่ารักที่ยื่นโกโก้ร้อนแก้วโตมาให้ หลังจากใจดีให้เขาเข้ามาหลบฝนในร้าน ที่แม้จะปิดไปแล้วแต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ปิดครัว จึงได้เรียกเขาเข้าร้านมาก่อน

 

“รอฝนหยุดค่อยไปก็ได้ครับ ยังไงร้านก็ปิดแล้ว”

“แต่ว่าร้านคุณปิด…. ”

เจ้าของร้านหันมองตามร่างสูงก็เห็นป้ายเวลาปิดร้านเวลา  20:00  แล้วตอนนี้ก็ 19:50 ไปแล้ว ใบหน้าหวานอมยิ้มหันกลับมาก็เจอใบหน้าคล้ายซามอยด์กับหัวฟูจ้องตาแป๋วอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมพักชั้นบนนี่เอง นี่ก็อบคุกกี้อยู่ คงอีกนานกว่าจะเสร็จน่ะ”

“อ่อครับ งั้น รบกวนด้วยนะครับ”

“ว่าแต่คุณ-”

“ดลครับ เรียกยาวๆ ว่าดลภัทรก็ได้”

เสียงหัวเราคิกคักกับยิ้มตาโค้งสระอิทำเอาเจ้าของมุขสะตั้นไปชั่ววิกับภาพคนตรงหน้า  น่ารักจังวะ

 

“ว่าแต่คุณดล หรือเรียกยาวๆ ดลภัทร อยากเปลี่ยนชุดก่อนมั้ยยืมได้นะ”

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับคุณ เอ่อ -”

“ไม้เอก หรือเรียกแบบขี้เกียจว่าไม้ก็ได้ครับ ”

“ครับไม้ เดี๋ยวก็แห้งครั–  ฮะ ฮัดชิ้ว!”

“งั้นเดี๋ยวไม้มานะ ฮ่าๆ”

 

ดลมองตามร่างสูงโปร่งเดินหายไปหลังร้าน ที่คาดว่าเป็นส่วนของที่พักที่เจ้าตัวบอก มือหนาหยิบโก้โก้ร้อนเป่าไล่ความร้อนเล็กๆ ก่อนจะยกจิบอีกครั้ง ความอุ่นที่แผ่ออกมาช่วยได้มาก อย่างน้อยเขาก็ไม่หนาวเท่าไหร่แล้วตอนนี้

สายตาคมกวาดมองรอบร้านคาเฟ่ขนาดเล็ก หากไม่รวมที่นั่งแบบบาร์ติดกระจกหน้าร้านที่เขากำลังนั่งอยู่นี้ มีเพียงสามโต๊ะ บรรยากาศอบอุ่นด้วยตกแต่งเหมือนบ้าน ดอกไม้แห้งและของตกแต่งที่เข้ากับกลิ่นหอมของคุกกี้ลอยมากระทบจมูกทำให้รู้สึกผ่อนคลายราวกับอยู่บ้าน

รอไม่นานเท่าไหร่นักร่างขาวก็กลับมาพร้อมกับเสื้อกางเกง และผ้าขนหนูผืนเล็กในมือ

 

“คิดว่าดลน่าใส่ได้นะ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนะครับ ”

“หวังว่าจะได้นะไม้ ผมค่อนข้างจะตัวใหญ่ด้วยสิ ฮะ ฮ่า ”

“เลือกที่ใหญ่สุดมาแล้วครับ ลองดูนะ”

ร่างสูงรับชุดในมืออีกคนมาก่อนจะขอตัวไปห้องน้ำหลังร้านที่ว่า ไม้เดินเลี่ยงออกมากลับไปเตาอบหลังเคาน์เตอร์เพื่อเช็คอุณภูมิคุกกี้ที่อบไว้ แต่ก็ไม่ลืมหยิบแก้วโกโก้ที่พร่องลงจนเกือบหมดติดมือมาด้วย อีกคนคงหนาวมาก ตากฝนมาซะขนาดนั้น โดนแอร์ร้านเข้าไปอีกไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะจามหลายครั้ง เพียงแค่นึกขึ้นในใจก็ได้ยินเสียง ฮัดชิ้ว มาจากหลังร้านแว่วๆ

 

 

 

ฮัดชิ้ว

ร่างสูงคว้าทิชชู่มาซับจมูกหลังจามติดๆ กันอีกรอบ ถูปลายจมูกจนเริ่มแดงกล่ำ อาการแบบนี้ไม่บอกก็รู้ว่าต้องไม่สบายแน่ๆ โชคดีที่พรุ่งนี้ไม่ได้มีประชุมหรืองานด่วนอะไรหากจะลางานก็คงไม่น่ามีปัญหา ดลจัดชุดให้เข้าที่เข้าทาง เสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงวอมพอดีตัวที่ถ้าเป็นเจ้าของใส่คงหลวมน่าดู เขาเช็คความเรียบร้อยหน้ากระจกอีกรอบ โยนผ้าขนหนูซับผมที่เปียกไว้ลวกๆ ก่อนจะออกมาข้างนอกพร้อมชุดเปียกๆ ที่พับเก็บไว้

ดลกลับมาที่โต๊ะแต่พบแค่ของใช้เขาที่วางอยู่ แอบตรวจดูเล็กน้อยว่าของสำคัญอย่างกระเป๋าเงิน หรือโทรศัพท์ยังอยู่ดี  – ถึงจะหน้าหวานแถมยังใจดี แต่คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหนต้องระวังไว้ก่อน

เมื่อสอดส่ายสายตาก็พบกับเบื้องหลังของไม้อยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาหยุดยืนนิ่งพิจารณาบุคคลตรงหน้าที่บังเอิญได้เจอไม่ถึงชั่วโมงนี้ กำลังง่วนอยู่กับบางสิ่งหน้าเตาอบและอุปกรณ์มากมายที่เขาไม่รู้จัก แต่กลิ่นหอมจากสิ่งนั้นบ่งบอกว่าคงออกมารสชาติดีไม่น้อย

 

ดลเผลอจ้องมองแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นโดยไม่รู้ตัว จ้องมองผิวกายขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิง รูปร่างสูงโปร่งที่วัดจากสายตาแล้วน่าจะ 180 เซนติเมตรน่าจะได้ แต่แม้จะสูงและช่วงไหล่กว้างแบบผู้ชายแต่ร่างกายช่วงล่างก็แบบบาง แม้ในเวลาขยับตัว ไม่ว่าเอี้ยวตัวซ้ายขวาก็สามารถสังเกตุเห็นถึงช่วงเอวและสะโพกที่เล็กคอด แบบที่คงเล็กแค่หนึ่งมือโอบ เขามีใบหน้าหล่อที่ติดหวาน แต่ก็ยังดูดี ไม่รู้สิแต่จะแปลกมากไหมหากจะชมผู้ชายตรงหน้าว่าน่ารัก โดยเฉพาะเวลายิ้มตาหยี แบบที่กำลังยิ้มให้เขาในตอนนี้ ….

 

“เหมือนใส่ได้พอดีเลยนะครับ”

“เอ่อ… ครับ พอดีเลย”

ผมรีบหลบตาทันทีที่รู้สึกตัวว่าเรากำลังจ้องตากันอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว ขายาวก้าวมาที่หน้าเคาน์เตอร์รับโกโก้แก้วใหม่ที่อีกคนยื่นให้ วันนี้เขาพูดขอบคุณกี่ครั้งแล้วก็ไม่อยากจะนับ

“คุกกี้เสร็จแล้ว ดลอยากชิมมั้ย”

“หอมขนาดนี้ คงพลาดไม่ได้แล้วล่ะ”

 

ดีเกินไปแล้วนะ

 

 

 

 

ร่างสูงกลับมาที่เดิมหันมองนอกบานกระจกร้าน สายฝนที่เริ่มซาลง เมฆฝนกระจายตัวจนเห็นท้องฟ้าสว่างขึ้น บ่งบอกว่าไม่นานคงหยุด เมื่อหันมองเครื่องบอกเวลาที่ข้อมือก็พบว่าเกือบจะ 4 ทุ่มไปแล้ว  บทสนทนาที่ดูเรียบง่ายกับคนแปลกหน้าดำเนินไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวเลยว่าเรานั่งคุยกันมานานแค่ไหน

“ฝนดูซาแล้ว  คงขอรบกวนอีกสักพักนะ”

“อ่า จริงด้วยสิ” ดวงตาเรียวหันมองนอกหน้าต่างกระจกใส หยาดฝนเริ่มหายไปเหลือเพียงไอหนาๆ ที่เกาะกระจกจากการควบแน่นของมวลอากาศภายนอก

“ส่วนชุดกับร่มเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามาคืนนะ”

“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ร้านก็อยู่ตรงนี้เอง”

“ออฟฟิศผมก็อยู่แถวนี้เอง มาได้”

“อ่า งั้นเอาที่สะดวกเลยครับ”

ดลแอบถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ถ้าหากไม้ยังบอกปัดอีกครั้ง อีกคนคงรู้เหตุผลที่เขาตื้อจะมาคืนของขนาดนี้แน่ๆ

บรรยากาศตอนนี้ชวนให้เสียดายเหลือเกินที่จะเดินออกจากไป ไม่รู้เพราะโกโก้แก้วอุ่น ผ้าขนหนูที่คลุมตัว กลิ่นคุกกี้กรุ่นร้อนที่โชยจากเตาอบ หรือเพราะคนข้างกายที่ทำให้รอบตัวถูกโรยไปด้วยมวลความอบอุ่น แต่แค่นี้ก็คงเป็นการรบกวนมากเกินไปแล้ว คงต้องได้เวลาบอกลาจริงๆ

 

 

ร่างสูงกระชับร่มคันใหญ่ในมือ เท้าที่เตรียมก้าวไปข้างหน้าสวนกับความคิดที่ยังอยากยืนตรงนี้ ดลหันหลังกลับมาหาคนที่ยืนส่งหน้าประตูอีกครั้ง ขอมองใบหน้าประดับรอยยิ้มหวานอีกสักรอบ แบบที่ไม่รู้ตัวว่าทำไมกัน

“ไปแล้วนะครับ”

“เดินทางปลอดภัยนะครับดล”

ผมยิ้มรับใบหน้าประดับรอยยิ้มนั้นกลับไปก่อนจะหันหลังกลับสู่ถนนเปียกแฉะเบื้องหน้าเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านที่ควรจะต้องถึงตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วหากไม่มีพายุฝน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงผู้หญิงจากหน้าจอสี่เหลี่ยม แจ้งเตือนพยากรณ์อากาศวันนี้ดังแว่วออกเบาๆ จากทีวีตั้งอยู่มุมห้อง ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะหันไปมอง เสียงนั้นก็หายไปเสียก่อน ต้นตอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนสนิทที่คว้ารีโมทมากดก่อนโยนไปว่างสักที่บนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง

“ตกมันได้ทุกวัน กูล่ะเบื่อ”

“แล้วมึงปิดทำไม กูจะฟัง”

ร่างสูงกระโดดข้ามพนักวางแขนคว้าเข้าที่อุปกรณ์เพื่อรีบเปิด ก่อนที่รายการจะจบลงเสียก่อน

 

“อากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงบ่อย ผู้ที่ต้องออกนอกบ้านอย่าลืมพกร่มด้วยนะคะ”

 

“เห็นมั้ย ตกอยู่ดี ไม่ดูกูก็บอกได้” เพื่อนตัวดีพูดอย่างติดรำคาญก่อนเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง ดลมองตามก็เห็นเค้าฝนที่เริ่มตั้งมา เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานคงกลั่นฝนลงมา

“ดลมึงมีร่มสำรองมั้ย”

“เอาไปสิ กูมีอีกอัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กริ๊ง กริ๊ง

 

“เชิญครับ  อ้าวดล…”

ไม้เงยหน้าจากเคาน์เตอร์ก็พบร่างสูงที่ยิ้มแป้นอยู่เบื้องหน้ากับร่มในมือไม้ส่งยิ้มกลับไป เรายิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น ดลค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ ยื่นถุงหนึ่งใบกับร่มสีฟ้ามาให้  ร่มของเขา

“เอาของมาคืนครับ”

 

ดลบอกจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ และหนึ่งเหตุผลที่ไม่กล้าพูดออกไป

 

 

ผมมาหาความโชคดี … 

 

 

 

 

 

 

 

Talk : ฟิคสั้นจากวันฝนตก หวังว่าจะชอบกันค่ะ 🙂         #ดินแดนเนียลมิน

From Seoul to U(niverse)

From Seoul to U(niverse)

Paring : Ong x Hwang

Rate : PG

Ref song : Hwang Minhyun – Universe














คุณเชื่อในคำพูดที่ว่า ‘ความคิดถึงฆ่าคนได้ไหม’





เกินจริงใช่มั้ยล่ะ




ผมก็เคยคิดแบบนั้น








5,961.6 Miles from me to U

Milan , Italy

02:00 A.M.

“ฝันดีครับคนดี”

มือเรียวกดปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวลงหลังจบการสนทนาแบบวิดิโอทางไกล รอยยิ้มบางที่ยิ้มให้คนในจอสื่อสารเมื่อครู่หุบลงก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ ในความมืด ภายในห้องนอนขนาดกลางที่มีเฟอร์นิเจอร์และหนึ่งชีวิตตรงนี้ แต่เมื่อหันมองผืนเตียงคิงไซส์ที่โล่งไปอีกฝั่งทำให้ยิ่งเหงากว่าเดิมเสียอีก

เห้อ … ผ่านไปอีกวันแล้วนะ

“เฮ้ มินยอน!”

ร่างโปร่งหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าหล่อติดหวานหันตามเสียงเรียกด้านหลัง พบเพื่อนตัวเล็กวิ่งกระหอบกระหื่น กับกระเป๋าที่พะรุงพะรังตามมาไม่ไกล ก่อนจะสาวเท้าถึงตัวเขาที่หยุดยืนรอ เพื่อนตัวเล็กยืดตัวขึ้นพลางวางมือบนไหล่พิงไม่ให้เซไปซะก่อน ด้วยความสูงที่ไม่ไกลกันมาก ตัวเล็กที่ว่าคือ 175 เซนติเมตร ที่ดูจะต่ำกว่ามาตรฐานของชาวยุโรปอยู่เล็กน้อย

“มินฮยอน อ่านปากนะ มิน-ฮยอน”

 ริมฝีปากบางเบ้ปาก กรอกตามองบนก่อนจะเอ่ยอย่างรำคาญในการออกเสียงชื่อเขา ค่อยๆ ออกเสียงดัง ฟังชัดใส่หน้าเพื่อนอีกรอบ

“ฮยอน ไม่ใช่ ฮอน โอเค?”

“โอเค ฮวัง มิน ฮยอน โทดที”

“จบคลาสแล้วยูไปไหนต่อมั้ย เย็นนี้สตีฟชวนไปปาร์ตี้ที่บ้าน สนป่ะ”

“ไม่ดีกว่า อยากนอนอ่านหนังสือ”

“แล้วก็วิดิโอคอลกับแฟนยูอ่ะหรอ เบ๊บ ไอมีสยู เลิฟยู-  โอ้ย”

พูดยังไม่ทันจบดีก็โดนฝ่ามือฟาดเข้าที่หัวไหล่แรงๆ ทีนึง ชอบล้อดีนักนะ ตั้งแต่ตอนที่แอนเดรียหรือแอนดี้- เพื่อนตัวเล็กคนนี้อ่ะนะ- มาทำโปรเจ็คที่ห้องเมื่อหลายเดือนก่อน แล้วแฟนเขาโทรมาพอดี ก็ไม่ทันคิดว่าแอนดี้จะมาเห็นล้วล้อไม่หยุดเรื่องที่ว่าเขาทำตัวอ้อน หวานเกินไป ดูไม่ใช่เวลาปกติที่เจอมาตลอด เขาก็ไม่รู้จะบอกยังไงก็นี่เพื่อน นั่นก็หวานใจแถมยังอยู่ไกลคนละซีกโลก นี่เป็นทางเดียวที่ทำให้เรายังเดิมความหวานให้กันได้ เลยช่วยไม่ได้ที่จะอ้อนนี่นา

“เอาหน่า งานหน้านะ”

“แล้วแต่นานละกัน มิสเตอร์ฮวัง”

“ไปเลยไป”

เพื่อนตัวดีซอยเท้าหนีขายาวที่เตียมจะเตะก้นไปซะแล้ว แต่ก็ไม่วายหันมาทำท่ายกมือถือถ่ายหน้าจงใจล้อเขาเวลาวิดิโอคอล ถึงจะบ่นแอนดี้แต่เขากลับยิ้มออกมากับท่าทางเหล่านั้นมากกว่าเก็บมาใส่ใจ ก็แอนดี้หน่ะแทบจะเรียได้ว่าเพื่อนคนเดียวของเขาตั้งแต่มาเรียนต่อที่นี่ ตลอดเวลาหนึ่งปี กับสามเดือน ของการมาเรียนต่อ Interior design

ผู้ชายท่าทางกวนๆ เดินไปพูดคุยกับทุกกลุ่มตั้งแต่วันแรกของการศึกษา จู่ๆ ก็เข้ามาขอจับคู่งานกลุ่ม ทั้งที่หลายคนเลือกจะเลี่ยงการเข้าหาคนเอเชีย(ยกตัวอย่างมินฮยอน เป็นต้น) ถึงจะแปลกใจ แต่ก็บอกตามตรงว่าดีใจมากกว่า อย่างน้อยก็ไม่เหงาแล้ว



มินฮยอนเดินเลี่ยงจากอาคารเรียนไม่ไกลนักก็ถึงป้ายรถบัส รอไม่นานรถบัสประจำทางสายประจำก็เทียบท่าตามเวลาบวกลบแล้วถือว่าปกติ ไม่ช้าไปนัก ร่างโปร่งเลือกที่จะนั่งที่ริมหน้าต่างเช่นเคย ในช่วงฤดูหนาวเตรียมเข้าใบไม้ผลินี้ อากาศเพียง 45-59  แบบนี้บรรยากาศกำลังดี ต้นไม้แข่งกันผลิดอกออกใบต้อนรับความอบอุ่นของฤดูร้อนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ที่เกาหลีก็คงแบบนี้สินะ คิดถึงช่วงเวลานี้จัง

ข้อมือเรียวคว้าสมาร์ทโฟนคู่ใจกดเข้ากล้องถ่ายรูป บันทึกภาพตรงหน้า เลือกฟิลเตอร์เดิมที่ชอบ ก่อนกดส่งยังหมายเลขที่จำขึ้นใจ

“คิดถึง  ถ้าได้อยู่ด้วยกันก็คงดี”











Seoul , South Korea

22:41 P.M.



You have a new message.

ฝ่ามือหนาคลำหาที่มาของเสียงแจ้งเตือนในกระเป๋าเสื้อสูทตัวเก่ง ที่วันนี้ดูจะไม่เก่งซะแล้วไม่ใช่เสื้อสีชาตัวหม่นแต่เป็นเขาซะเอง หลังจากโดนโซจูบอมบ์จนนับแก้วไม่ได้ เป็นเวลาสักพักกว่าจะขอรุ่นพี่ที่ทำงานเพื่อเลี่ยงตัวออกมาจากงานเลี้ยงสังสรรค์ของกอง ด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้จะฉลองการปิดจ็อบสุดท้ายเป็นเหตุให้ต้องมาเมาแล้วกักแท็กซี่พาตัวเองกลับ้านทั้งแบบนี้

You have a new message.

เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้ง เตือนสติคนที่คว้าเอากุญไขเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงที่นอนแทนการเปิดอ่านข้อความตามที่ตั้งใจแต่ทีแรก ทันทีที่แอพแสดงรายชื่อคนติดต่อใบหน้าคนยิ้มอัตโนมัติราวกับตั้งโปแกรมไว้ว่าหากพบชื่อนี้ จะต้องยิ้มออกมา

– Minhyunnie-

รายชื่อที่คุ้นตาแม้ในเวลาสติเลือนตอนนี้ก็ยังจำได้ นิ้วเรียวสไลด์ยังช่องแชทพบรูปภาพ 1 รุปและ 1 ข้อความ กับสไตล์ภาพและประโยคที่สำนวนดูคุ้นเคยที่สมกับเป็นเขาดี

“คิดถึงเหมือนกันครับ”

กรอกข้อความตามใจนึกลงช่องแชทแล้วก็เข้าสู่ห้วนิทราทันที ไม่แม้จะทันมองข้อความส่งถูกอ่านและส่งกลับมาทันทีราวกลับระบบตอบกลับอัตโนมัติหลังจากนั้น อ่า.. คงต้องเก็บความคิดถึงไว้ก่อนล้วกันนะ


You have a new message….






12:20 P.M.

“พรุ่งนี้ได้ข่าวรับงานอีกแล้วหรอวะ”

“อือ งานพี่ที่สนิท”

ผมตอบกลับเพื่อนสนิทพลางหยิบห่อคิมบับใส่ปาก ตาก็มองจอคอมพิวเตอร์แทนที่จะหันมองเพื่อนตัวเองที่เดินมาหา คิมบับไส้ธรรมดาหาซื้อได้ทั่วไปตามมินิมาร์ทแต่กลิ่นและรสออกจะเปรี้ยวแล่มจนต้องคายออกมาดู เมื่อเห็นว่ารสกิมจิจึงเลิกสนใจไป

“รับงานเก่ง เก็บเงินเก่ง ยังไม่พอหรอวะ”

“พอ แต่ไม่พอ กุอยากได้มากกว่านี้”

“อีกเยอะมั้ย บอกกูดิเดี๋ยวช่วย”

“ไม่เท่าไหร่หรอก แต่กุมีเวลาไม่มากแล้ว”

ผมยอมหันไปตอบแจฮวานที่เดินมาพับหน้าต่างคอมพิมเตอร์ลง ไอ้นี่มันกวนไม่เลิกจริงๆ ดีนะรู้ทันกดบันทึกเนื้องานล่าสุดก่อน เพราะถ้าหากเวลา 12:00 แล้วเพื่อนคนนนี้มาเห็นว่ายังทำงานอยู่เป็นอันว่าพับจอทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อนกุจะตายในหน้าที่ไม่ได้ ถึงจะทำงานหาเงินไปหาเมียแค่ไหน ก็ห้ามตายในออฟฟิศมัน   นี่แหล่ะ การแสดงออกความเป็นห่วงในสไตล์ของมัน

หลังมื้ออาหารกลางวันกับเมนูง่ายอย่างซุปกระดูกวัวกับข้าวสวยจบลงอย่างรวดเร็ว ผมเลือกจะขอตัวออกมายังสวนไม่ไกลจากร้านอาหารแถวออฟฟิศปล่อยให้แจฮวานเดินกลับไปก่อน วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอุณภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้โซลวันนี้พ็อดกซ หรือซากุระเกาหลีจะบานไวขึ้นอีกหน่อย แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

กลีบดอกสีชมพูอ่อนสลับเข้มเนื้อบางต้องลม บางส่วนก็หล่นลงพื้น บางส่วนยังเกาะช่อดอกเพื่อให้ความสวยงามแก่ผู้คนได้เชยชมนานขึ้นอีกหน่อย เสียดายที่คนที่ชอบมันมากๆ ไม่ได้อยู่ดูเป็นปีที่ 2 แล้ว ถ้าเป็นปกติคงต้องชวนกันไปปิคนิคที่สวนสักที่ไม่ไกลจากในเมือง เขาตื่นมาทำตะกร้าปิคนิคง่ายอย่างแซนวิส หรือข้าวปั้นเสร็จแล้วค่อยมาปลุกผมเพื่อขับรถพากันไป คิดแล้วก็ยิ้มออกมาจนคนแถวนั้นคงคิดว่าผมบ้าไปแล้วมั้ง ถึงบ่นว่าดูทุกปีแต่ก็มีความสุขทุกทีที่ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนตอนนี้ก็… คิดถึง

“ปีนี้บานไวกว่าปีก่อนๆ อีก เสียดายที่เธอไม่อยู่อดกินแซนวิซรสพ็อดกซเลย”







05:20 A.M.

You have a new message….












10:00 A.M.

“หยุดจ้องมือถือก่อน โปรเฟสเซอร์จะสั่งงานแล้ว”

“มินฮยอน เฮ้”

“ห้ะ”

ทันทีที่เงยหน้าก็พบกระดาษโปรเจ็คสุดท้ายวางอยู่ตรงหน้าโดยแอนเดรีย ห้องเรียนที่เริ่มโล่งตาจากสัญญาณจบคลาสไวกว่าปกติของอาจารย์ทำให้ต่างทะยอยออกไปกันเหือบจะหมดแล้ว ตาเรียวกวาดมองเนื้อหาคร่าวๆ ก็ฟุบลงกับโต๊ะอีกที

“ไม่เอาน่า โปรเจ็คสุดท้ายก็จบแล้ว”

“มินฮยอน นายร้องไห้หรอ”

ฝ่ามือที่เกาะไหนเขาเพื่อปลอบใจอยู่เมื่อครู่กำลังพยายามแงะไหล่เข้าเพื่อดึงตัวขึ้นจากผืนโต๊ะ แต่เขาฝืนแรงเอาไว้ ไม่เอาหรอก ไม่อยากให้เห็นตอนนี้หรอกนะ

“เพื่อนออกไปกันหมดแล้ว ไม่ต้องอายน่า”

ผมยอมเงยหน้าสบกับเพื่อนตัวเองทั้งน้ำตาหลังจากคำนั้น ผมเผยความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ตอนนี้แค่ใครสักคน สักคนที่เขามาโอบกอดในวันที่อ่อนแอ แอนเดรียที่เคยพูดมากตอนนี้กลับเงียบไปคงเพราะตกใจที่ผมร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาเพียงแค่โอบไหล่ผมไว้ให้ร้องไห้ในอ้อมแขนเขาจนกระทั่งหายสะอึกสะอื้นถึงยอมถามว่าเป็นอะไร




“ที่ร้องไห้เพราะคิดว่าแฟนไม่รักแล้ว เลยไม่คุยด้วย?”

“อื้อ”

“สรุปที่ร้องไห้เพราะกลัวว่าจะเลิกกันใช่มั้ย”

“อื้อ  ฮะ ฮึก”

“คิดมากหน่า  พวกยูคบกันมาตั้งนาน ขนาดยูมาเรียนที่นี่ขายังขยันโทรหายูเลย ตอนยูป่วยก็ถึงขั้นจะมาหา”

“แต่ก็ไม่มา ฮึกโอ้ย”

ฝ่ามือหนาฟาดลงกลางหัวเข้าไห้เมื่อรู้สึกว่าเขากำลังงี่เง่าอย่างหนัก แถมไม่ยอมฟังคำปลอบใจจากเขา ถ้าเป็นปกติคงจะไล่ตีกันไปแล้วแต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์เล่นตาม ไร้เรี่ยวแรงขยับตัวไปหมดแล้ว

“กว่าจะมาถึงยูก็หายป่วยแล้วมั้ย แล้วไม่คุยแค่ 2 วันเอง ไม่เชื่อใจแฟนหรอ”

“เชื่อ ถ้าเป็นก่อนหน้านั้น”

“หมายความว่าไง”




Rrrrrrrrrrr

สมาร์ทโฟนเครื่องสวยสั่นสะเทือนจากสายเรียกเข้า หมายเลขที่ไม่คุ้นเคยทำให้หัวคิ้วขมวดยุ่งอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วเรียวปาดเอาคราบน้ำตาบนหน้าจอออกลวกๆ ก่อนกดรับสาย เพียงเวลาไม่ถึงนาทีก็กดวางก่อนจะรีบกุลีกุจอออกจากห้องเรียนไปทิ้งให้แอนเดรียตะโกนตามหลังอยู่อย่างนั้น

ฝีเท้าที่เร่งความเร็วค่อยๆ ชะลอลงหยุดที่หน้าห้องธุรการ ใช้มือเท้าเข่าอย่างเหนื่อยหอบจากการวิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เหยียดตัวเต็มความสูงพลางพยายามควบคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอขึ้น มือยาวเคาะประตูห้องสองสามครั้งก่อนเปิดเข้าไป



เบื้องหน้าอาจารย์ประจำวิชา และชายคนหนึ่ง แผ่นหลังที่คุ้นเคยที่แม้ผมจะยาวขึ้น ไม่ได้ถูกเซ็ต เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวโปรดที่เขาเคยซื้อให้วันครบ 100 วัน

“มีคนบอกว่ารู้จักกับเธอน่ะ อาจารย์คิดว่าเธอน่าจะรู้จัก”

ร่างสูงหันมาหลังจากรับรู้ว่าคนข้างหน้าสบตาและเอ่ยกับคนข้างหลังเขาอีกที ใบหน้าหวานที่แสนคิดถึงนั้นกำลังยกมือปิดปากและพยักหน้าขึ้นลงแทนการตอบกลับอย่างที่ควรจะทำ












“ทานน้ำอุ่นๆ ก่อนนะ”

ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่กลับเป็นแรงกอดรอดจากเบื้องหลัง ซองอูรอให้อีกคนพูดกับเขาไม่ไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่เจอกันที่ห้องธุรการมหา’ลัยแล้วอีกคนแทบไม่คุยกับเขาเลย เอาแต่นิ่ง นั่งมึนตลอดเวลาบนแท็กซี่กลับห้องพัก เขารอจนถึงห้องแต่มินฮยอนกลับเลือกจะคุยกับเขาด้วยประโยคชวนดื่มน้ำแทนที่จะเป็นกอดสักกอด หรือคำว่าคิดถึงอย่างที่เขาจินตนาการไว้

“คิดถึงที่สุดเลย”

แผ่นหลังบางสั่นสะท้านแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการร้องไห้ ซองอูหันคลายอ้อมกอดแล้วพลิกตัวอีกคนให้มองหน้ากัน สายตาที่ส่งมานี้คืออะไรกัน เขากำลังทำให้คนที่รักร้องไห้อย่างนั้นหรือ

“ไม่คิดถึงกันหรอครับ พี่คิดถึงจะแย่”

“คิดถึงจะบ้าอยู่แล้ว หายไปไหนมา ฮืออออ”

ทันทีจบคำถามนั้น ราวกับเครื่องตอบรับตะโกนกลับมา พลางเข้าทุบไหล่ ทุบแผ่นออกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงหวานตะโกนถามสลับเสียงสะอื้นทำเอาหัวใจเขาปวดหึบไปหมด แต่แทนที่จะเศร้ากลับยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งอีกคนทุบตี และเอ่ยคำตัดพ้อหัวใจยิ่งพองราวกับได้ยินคำบอกรัก ดีใจที่อย่างน้อยก็คิดถึง เหมือนกัน

ซองอูดึงร่างโปร่งที่ร้องไห้จนตัวโยนกอดแนบอย่างเต็มรัก กอดให้สมที่คิดถึงให้หายจากทุกความคำนึง โยกตัวเบาๆ ปลอบเด็กน้อยร้องไห้โยเยจนกระทั่งเงียบลง ฝ่ามือหนาซับแก้มนิ่มทั้งสองข้างไว้ ริมฝีปากอุ่นจดข้ามแก้มซับออกเบาๆ ซ้ายไปขวาอยู่อย่างนั้น ไล่ลงคางเรียวที่เขาแสนรัก และริมฝีปากอิ่มที่แสนรัก แทนคำว่าขอโทษทั้งหมด

“จะไม่หายไปแล้วครับ ขอโทษจริงๆ”

“ที่หายไปเพราะมาหาเราหรอ ทำไมถึงไม่รับสาย ไม่ตอบกลับข้อความ”


ร่างสูงดึงมืออีกคนให้นั่งลงโซฟา แล้วเดินไปเปิดกระเป๋าเป้ที่สภาพดูราวกับผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน พลางชูกระดาษยับย่นในมือแผ่นหนึ่ง


ได้ความว่าเป็นใบแจ้งความ เมื่อจับเข่าคุยถึงได้เรื่องว่าซองอูแอบมาเซอไพรซ์เขา เลยไม่ได้ตอบกลับข้อความ แต่พอลงเครื่องมากำลังนั่งรถมาหา แต่ถูกล้วงประเป๋า หายทั้งกระเป๋าเงิน ทั้งโทรศัพท์เลยหายไปติดต่อไม่ได้ ยังโชคดีที่แยกเงินเก็บหลายกระเป๋าถึงพอจะได้มีใช้จ่าย หลังแจ้งความเสร็จก็เรียกแท็กซี่มาหาอีกคนที่มหา’ลัย ที่ยังพอจำได้เพียงแค่ชื่อ และคณะที่เรียนได้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงต้องเดินสุ่มหาจนมาเจอกันอย่างที่เห็น

“ไปด้อมๆ มองๆ ถามหาคนเกือบโดนจับอีกรอบแล้ว ถ้าไม่เจออาจารย์ผู้ชายคนนั้น ฮ่าๆ ”

“ทำไมถึงทำแบบนี้เล่า น่าตียิ่งกว่าเดิมอีก เป็นห่วงแทบแย่ ขอหยิกที”

ว่าแล้วก็ทำเลย โดนหยิกเข้าไห้ที่สีข้าง ตัวก็ผอมหยิกไม่โดนแต่เล่นใหญ่ร้องโวยวายราวกับเจ็บนักหนาจนน่าหมั่นไส้เหลือเกิน หลังจากดีดดิ้นเล่นตัวสักพักก็รวบอีกคนเข้ามากอดอีกครั้ง กอดที่เป็นกอดจริงๆ ใข่เรากำลังกอดกัน กอดโยกตัวแบบเด็กเล็กอย่างที่วองอูชอบทำกับเขา มินฮยอนเองก็ไม่ยอมแพ้เอนตัวเข้าหาอ้อมกอดอย่างเต็มรักจนเอนตัวล้มลงกลายเป็นว่านอนกอดกันบนโซฟาแทน






“มินครับ หลับแล้วหรอ”

“อืออ…..”

“ไปอาบน้ำก่อนเร็ว ทำไมรอบนี้ให้พี่ได้บอก หืม”

“ไม่เอา ขอกอดก่อน”

ถ้าหากเป็นปกติเจ้าตัวคงบ่นว่าไม่อาบน้ำจะมานอนเล่นได้ยังไง ไหนจะเหงื่อไคลอีก แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรทำให้เขาสนใจไปได้กว่ากายอุ่นที่นอนอยู่ข้างกัน มินฮยอนเบียดซบร่างกายให้แนบแน่นให้กายซึมซับไออุ่นเอาไว้ ภายในอ้อมแขนแข็งแกร่งกับอ้อมกอดอุ่นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่นี้ที่ต้องการ

“ซองอู”

“ว่าไง”
“กอดให้แน่นกว่านี้ได้มั้ย”

“ได้สิครับ จะกอดคนดีให้แน่นที่สุดเลย”









-END-

Talk : ฟิคสั้นหลังจากฟังเพลง universe เรื่องราวที่ย้อนไปหาคนรักในอดีต เราว่าฟีลมันเหงาดี ประกอบกับคิดว่าคนละมิติมันจะเหงาแค่ไหนแค่คนละประเทศก็เฉาแล้ว แอบใส่ที่เจอในชีวิตจริงด้วยนิดนึงแต่แย่หน่อยที่ไม่จบสวยแบบนี้ 555

Enjoy reading และหวังว่าจะชอบกันค่ะ 🙂



ฝากเพลงไว้ในอ้อมใจด้วยจ้ะ ดีงามจริงๆ
จิ้มเลย Minhyun -Universe

น้องพรสตาร์ (Porn star)

[OS] น้องพรสตาร์ (Porn star)
Paring : Ong x Hwang
Rate : PG -13

Note : ลั่น สั้นๆ จากรูปนี้…

 

 

D3YdLKeUwAAUwBm

 

 

Sometimes I get so high
Falling is the only out I see
And I don’t wanna take you down with me.

 

 

 

 

ร่างกายขาวเนียนบิดเร่าบนผืนเตียงสีขาว แสงไฟสลัวจากโคมไฟสีส้มอุ่นไม่ได้ทำให้ความสวยงามนี้ลดลงได้เลย ขาเรียวที่ไขว้กันไปมาบดเบียดต้นขาปิดบังส่วนน่ารักภายใต้เนื้อผ้าหนา ยิ่งยามเมื่อฝ่ามือหนาลูบสัมผัสส่วนเว้าโค้งของเรือนร่างยิ่งขยับกายอย่างน่ารัก สายตาคมจ้องมองความเคลื่อนไหวราวกับงานศิลปะเรือนร่างของมนุษย์ที่รังสรรค์จากพระเจ้า แม้จะมีสเวตเตอร์สีครีมตัวใหญ่คลุมกายไว้เอา แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้คนมองอยากครอบครองเป็นเจ้าของความสวยงามนี้แต่เพียงผู้เดียว

 

อ๊ะ  อื้ออออ 

 

 

อ๊าาาาาา

 

มือหนายกมือลูบหน้าตัวเองลวกๆ สะบัดอารมณ์ที่ค้างอยู่ให้หลุดออก ขณะที่มืออีกข้างหยิบทิชชู่ใกล้ตัวมาทำความสะอาดคราบคาว ต่างๆ ที่เลอะเทอะไปทั่วหน้าขา หน้าท้อง บางส่วนก็กระเด็นติดที่ขอบแว่น จนต้องถอดออกมาเช็ดสักหน่อย แล้วปิดหน้าจอเว็บไซต์ประจำลง … 
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงกับฟูกอย่างคนหมดแรง แผ่นอกบางจากรูปร่างค่อนไปทางผอมกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักราวกับไปวิ่งรอบสนามสามรอบก็ไม่ปานทั้งที่แค่เข้าเว็บไซต์ไปออกกำลังข้อมือเท่านั้น อยากรู้มั้ยล่ะว่าเว็บประจำของผมคืออะไร

Bunnyhyunclub.co.kr

 

เว็บลับเฉพาะสมาชิกคลับที่ค่าสมาชิกแพงพอๆ กับค่าห้องพักซอมซ่อของเขา แต่ก็ยอมจ่ายมันทุกเดือนเพื่อจะเข้าไปดูขวัญใจ ดาวเว็บอย่างมินฮยอนนี่ ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหมกมุ่นเรื่องนี้ตามปกติของชายโสดทั่วไปที่ไม่รู้จะระบายออกทางไหน แรกๆ เขาก็คิดว่าแบบนั้นอ่ะนะ


จนกระทั่งผมมีแฟนสาว หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร หน้าอกหน้าใจก็สะบึม แต่ตลอดเวลาที่มีอะไรกันผมกลับนึกถึงแต่ใบหน้าของดาวเว็บ ผมไม่ใช่เกย์แต่พอเป็นเขาทุกอย่างกลับดึงดูดอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเอาแต่นึกถึงมินฮยอน แม้แต่มโนภาพตอนทำกิจกรรมกับแฟนสาวกลับเป็นร่างกายขาวเนียนอมชมพูทุกสัดส่วนนั้น จนมีบางทีเผลอตัว …

“ซี๊ด มินฮยอน อาาา”

แล้วเจ้าหล่อนก็หยิบหมอนแถวนั้นฟาดใส่หน้า พร้อมคำด่าบุพการีชุดใหญ่ก่อนจะหนีหายออกไปจากชีวิตผมทันที 

แต่แล้วยังไงล่ะ เธอที่เพิ่งมาหรือจะสู้คนที่ผมเจอมากว่า 1 ปีเต็ม

 

 

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงเรียกเข้าดึงความสนใจจากมโนภาพในคลิปล่าสุด ให้หันมองหน้าจอมือถือขนาด 6 นิ้วสว่างวาบโชว์เบอร์ที่คุ้นเคย  แดน-โหดสัด

“ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปแบบไม่ยี่หร่ะนัก 

“มึงลืมไรหรือเปล่า”

“ลืมอะไร”

“หน้าเว็บกุอ่ะ ยังไม่ได้นะสัดเอก”  เขร้! มัวแต่ดูคลิปล่าสุด จนลืมงานเลยกู 

“แดน มึง”

“อิเหี้ย งานกูด่วน มึง%&*(_$+@+$II”

สารพัดคำด่าจากแดน AE ขาโหดประจำบริษัทควบตำแหน่งเพื่อนซี้ตั้งแต่ประถมจนมหา’ลัย ส่วนผมเอก โปรแกรมเมอร์แว่นหนาเตอะ ที่ผมได้เข้าทำงานที่นี่เพราะมันช่วยฝากฝังอีกที แต่เพราะเพื่อนกันนี่แหล่ะที่ทำให้มันโขกสับงานผมเหลือเกิน

“เดี๋ยวกุเขียนให้ จะเสร็จแล้ว ขอเวลาชั่วโมงเดียว”

“อีก 1 ชม. กุต้องได้!”

“แล้วมึง-  “

ตุ๊ด ตุ๊ดๆๆๆ วางไปละ ….

คราวนี้ผมปิดหน้าจอน้องบันนี่มินฮยอนทั้งหมดลงอย่างตัดใจ ถือว่าวันนี้ใช้ VIP Member คุ้มแล้ว นี่ขนาดเห็นพรีวิวหน้าคลิปยังน่ารักได้ขนาดนี้ ตัวจริงจะขนาดไหน แต่ผมก็ได้แต่จินตนาการเท่านั้นแหล่ะ มันจะเป็นไปได้ไงล่ะ


 


หลังส่งงานเสร็จ ผมเดินเตร็ดเตร่ออกมานอกออฟฟิศรอแดนคุยกับลุกค้าก่อนจะตามลงมา ผมเดินไปยังร้านประจำเพื่อจองโต๊ะไว้รอเพื่อนตัวดี แต่ยังไม่ทันจะได้เลี้ยวเข้าร้านก็ถูกดึงจากด้านหลัง

“พ่อหนุ่ม ช่วยป้าซื้อหน่อยนะ”

ร่างหนาสะดุ้งจนเกือบจะง้างมือขึ้นเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเป็นหญิงชราวัยน่าจะ 60-70 ก็ลดมือลง แต่ก็พยายามแกะมือที่ถูกคุณยายท่านั้นกุมข้อมือไว้เบาๆ 

“ผมไม่ซื้อหวยครับยาย”

ร่างสูงทำหน้าไม่สู้ดี ส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงเดินออกมาแต่ก็ไม่วายถูกดึงชายเสื้อไว้อีกครั้ง ทำไมตื้อจังวะ 

“ถือว่าเป็นค่าข้าวยายนะ ยายไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว”

ไม่มีเงินแล้วเอาล็อตเตอรี่มาจากไหนวะ 

ได้แต่คิดแต่ก็ไม่อยากจะถามหักหน้าคนแก่ ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ ดวงตาเหี่ยวย่นนั้นมองเขาอย่างน่าสงสาร ปกติเขาไม่ได้ใจดีหรอกนะ แต่มองไปเห็นไอ้แดนเดินมาแล้วแล้วเขาก็หิวเต็มที่จนที ตัดสินใจควักเงินออกมาสองร้อยให้ยายไป

“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม เจริญๆ อยากได้อะไรก็สมหวังนะ”

“ไม่เอาหรอกครับ ยายเก็บไว้ลุ้นเถอะ”

เรื่องลุ้นหวยลุ้นโชคนี่ผมไม่ถนัดจริงๆ แต่ก็โดนยัดใส่มือจนต้องรับมาไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้ เขามองกระดาษยับๆ ในมือก่อนจะยัดลงกระเป๋าเสื้ออย่างไม่สนใจนัก พอเงยหน้ามองตามไปอีกทียายคนนั้นก็เดินหายวับไปแล้ว หายไปไหนไวจังวะ แต่ก็ช่างเหอะ ขอให้สมพรปากแล้วกัน 

“เก็บไว้ให้ดีๆ นะ มันจะทำให้พ่อหนุ่มโชคดี “

“อะไรมึง หวังเป็นเศรษฐีทางลัดแล้วหรอวะ ฮาฮ่า “

“เปล่า กูรับไปงั้นหน่ะ”

“เออ แดกข้าว หิวไส้จะขาด”

“เออ”

 


กริ๊ง กริ๊ง

มือหนาหยิบมือถือขึ้นมาในขณะทานข้าวพลางคุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรสออกชาติ ก่อนจะกดรับหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้กรอกเสียงลงไป ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ คุณเป็นผู้โชคดีชนะรางวัล — 

พรูดดดด

“เหี้ยเอก พ่นข้าวใส่กูทำไม!!”

“มึง กูชนะรางวัล!!”

 

 

 

7 วันก่อน

ติ๊ด ติ๊ด

12:30

เช้านี้เป็นเสียงข้อความที่เข้ามาปลุกผม จะเรียกว่าเช้าก็ไม่ถูก แต่ก็ไม่ผิดนักสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่นอนเช้าเป็นปกติแบบผม เมื่อคืนหลังจากส่งงานไอ้แดนไป ฟังมันบ่นอีกนิดหน่อยแต่ก็ชมตบท้ายว่ารักษามาตรฐานงาน แล้วก็นอนเป็นตายจนตอนนี้ นึกหงุดหงิดตัวเองที่ลืมปิดเสียงมือถือจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาซะได้
ผมเลือกจะลุกไปเข้าห้องน้ำ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาจิบก่อนที่จะจับมือถือ ปกติจะมีอะไรนอกจากข้อความผลบอล หรือชวนสมัครดูดวง นอกจากแดนก็ไม่มีใครติดต่อกับผลแล้วล่ะ


ติ๊ด ติ๊ด

เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้งจนอดเดินมาหยิบดูหน่อยไม่ได้ แต่ทันทีเห็นพรีวิวข้อความแก้วน้ำในมือแทบหล่น นิ้วเรียวรีบสแกนนิ้วสไลด์จอเปิดอ่านทันที

Message 1

ลุ้นเป็นผู้โชคดีได้เดทกับน้องบันนี่ฮยอนสุดน่ารัก ตัวท็อปของคลับ เพียงต่ออายุ VIP Member ภายในสัปดาห์นี้เท่านั้น ‘

 

Message 2
‘ พิเศษสมาชิก VIP เดิมได้ลุ้นสิทธิ์ x2 รีบสมัครเลย! ดูคลิปน้องกระต่ายน้อยเชิญชวน คลิ๊ก Link ‘

 

ผมขยี้ตาแรงอีกครั้ง อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง แค่ VIP สิทธิ์ก็หรูหราหมาเห่าแล้วนะ เพราะนอกจากจะได้ห้องลับไว้แชทส่วนตัวกับเหล่ามินฮยอนแล้ว ยังได้ดูคลิปลับก่อนใครอีกต่างหาก ไม่สมัครไม่ได้แล้ว จะต่อยันชาติหน้าเลยจ้ะน้อง  มือหนาวางแก้วน้ำในมือลงก่อนที่มันจะหล่นแตกไปซะก่อน แล้วเดินหาที่นั่งดึงสติก่อนจะกดคลิปนั้นเบาๆ ราวกลัวคนในภาพพรีวิวจะสะดุ้ง

ร่างกายขาวเนียนในเชิ๊ตตัวโคร่งสีขาวคลุมกายอย่างหมิ่นเหม่ นั่งบนโซฟายาวแดงขลับตัดกับผิวสีน้ำนม ไหล่ลาดที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ยิ่งมองยิ่งน่าหลงไหล จากคลิปวิดิโอมองเห็นจากลำคอเรียวตัดกับโช้คเกอร์หนังสีดำลงมาถึงเรียวขาเท่านั้น

” คนรักน้องมิน อย่าลืมสมัครกันนะครับ แล้วมาเดทกันนะ จุ๊บ “

ร่างกายบิดเร่าให้ชายเสื้อวับๆ แวมๆ กับน้ำเสียงออดอ้อนเท่านี้ก็ทำเอาเลือดลมสูบฉีดทั่วร่างทั่วสรรพางค์กายกันเลยทีเดียว และเมื่อก้มมองกวางหว่างขาตัวเองก็หยิบบัตรเครดิตอย่างไม่ลังเลในทันที นี่กุจะมีอารมณ์กับแค่คลิปความยาวเพียง 0:30 วินาทีไม่ได้ แม่งเอ้ย แล้วผมก็ฉายหัตถาครองพิภพอีกรอบเช้านั้น…

 

 

 

 

 

 

 

 

ผมยืนอยู่หน้าสตูดิโอตามที่ได้มีการนัดหมายไว้ หลังจากที่ได้รัยสายจากเอเจนซี่ที่ดูแลเว็บแจ้งผลรางวัล และเงื่อนไข รวมทั้งกฏการออกเดทอีกเล็กน้อย มีข้อนึงที่ผมท่องได้ขึ้นใจจนตอนนี้คือ 

‘ คุณมีเวลาถึง 23:59 ของวันเท่านั้น เมื่อหมดเวลาทุกอย่างจะขึ้นกับการพิจารณาของน้องมินฮยอนแต่เพียงผู้เดียว ‘

ผมไม่อยากคาดหวังหรอกนะ แต่ในหัวคิดไปต่างๆ นานาแล้วตอนนี้ ตื่นเต้นกว่าตอนเดทกับแฟนคนแรกอีกวุ้ย

 

 

ผมกดกริ่งอยู่สักพักก็มีลุงยามมาเปิดรั้วให้เชิญเข้าไปนั่งรอข้างใน ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์น ด้านในตกแต่งสไตล์ Loft เรียบง่าย ผู้คนไม่เยอะนักเดินไปมาข้างใน หันมามองผมที่นั่งรอโซฟาด้านหน้าบ้างก็หันมองพร้อมทักทาย บ้างก็หันมายิ้มให้ ก็จะงงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ
“คุณฮงซองอู ใช่มั้ยครับ”
“ครับ?”
“ผู้โชคดีใช่มั้ยครับ”
“อ่อ อง-ซองอูครับ”
ผมเน้นเสียงในนามสกุลไปอีกครั้ง เรียกผิดกันอยู่ได้ ตกภาษาเกาหลีกันหรอวะ

“อ้อ โทดที เชิญที่ห้องก่อนครับ มินฮยอนรออยู่แล้ว”
“ห้อง?”
ชายคนนั้นแค่ยิ้มให้แล้วเดินจากไป กะจะให้ผมเดินตาม แต่ในหัวตอนนี้คือนอกจากไม่รันข้อมูลแล้วยังคิดดีไม่ได้เลย เดทที่ว่า อย่าบอกนะว่า….

แค่มาบรีฟเงื่อนไขและกฏเพิ่มเติม พร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานสักเล็กน้อย เอาไว้แปะบนบอร์ดเว็บโชคดีที่ทางเว็บเองก็ไม่แสดงใบหน้าอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่เข้ามาผมยังไม่ได้พบกับ ‘รางวัล’ ของผมเลย จดกระทั่งถ่ายรูปเสร็จและสตาฟแจ้งให้นั่งรอในห้อง ผมลือกจะนั่งลงที่โซฟาใหญ่กลางห้อง มองไปรอบๆ ที่ทุกคนทยอยออกไป 


แกร๊ก

ประตูถูกเปิดจากข้างนอก ผมมองยังร่างโปร่งบางที่กำลังปิดประตู เขาหันมายิ้มให้ผมด้วยใบหน้าแสนน่ารักนั่น จู่ๆ เหงื่อก็เริ่มไหลตามขมับ ฝ่ามือเปียกชื้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามือหนากำลังขย้ำกางเกงทั้งสองข้างจนเขาเดินเข้ามาใกล้ และกุมมือผมไว้

กางเกงจะขาดเอานะครับ


เอ่อ…

“สวัสดีครับ คุณ อง ซอง อู”

ยิ้ม ยิ้มอีกแล้ว ใบหน้าหวานกับดวงตาเชิดรั้นที่ผมชอบกำลังมองมาในระยะประชิด ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะนึกขึ้นได้ ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืน โดยไม่ทันตั้งตัวร่างโปร่งถึงกับสะดุ้ง เอนตัวไปหลบด้วยกลัวจะชนกัน

มินฮยอนเบิกตามองมาอย่างตกใจ ในขณะที่ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว เลิกลั่กไปมาจนถูกมือเรียวจับแขนไว้ข้างลำตัว

“คุณซองอูโอเคมั้ยครับ”

“คะ ครับ”

“ผมขอไปห้องน้ำแป๊บนึงครับ”

พูดเสร็จก็วิ่งเปิดประตูออกไปทันที นี่หรอความประทับใจแรก ทำอะไรของมึงวะซองอู แค่นายเอกพอร์นป่ะวะ มึงจะเขินอะไร พูดกับตัวเองไปพลางยกมือกุมอก พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ รอจนเสียงหัวใจเต้นในระดับปกติ

ซองอูจ้อมมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง หยิบเจลในกระเป๋าที่พกมาปาดปลายผมด้านหน้าเล็กน้อย ฉีดน้ำหอม กับสเปรย์เพิ่มลมหายใจสดชื่นอีกนิดหน่อย เอาว่ะ ไม่เขินแม่งละ!



ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง เห็นมินฮยอนนั่งไขว่ห้างเล่นมือถือรอเงียบๆ เสียงปิดประตูที่ลั่นแรงไปนิดก็ดึงความสนใจอีกคนกลับมา

“ดีขึ้นมั้ยครับ”
“ดีครับ ฮะ ฮ่า”

ผมยิ้มแห้งๆ กลับไป พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่มือที่สดในกระเป๋ากางเกงกำแน่นเหมือนเดิม

“ไปกันดีกว่าเนาะ”

“ไปไหนครับ”

“ก็ไปเดทไงครับ เร็วเข้าจะเที่ยงแล้วนะครับ”

 

 


การเดทเริ่มต้นด้วยการทานอาหารมื้อง่ายๆ โดยผมให้เขาเป็นคนเลือกร้านทั้งคาวและหวานเลยมาจบที่ร้านอาหารฟิวชั่นง่ายๆ ที่เขาบอกว่าเป็นร้านประจำ ดูจากร้านภายนอกแล้วก็ดูเป็นเขาดี เรียบง่ายแต่ดูดี ดูแพงแต่เข้าถึงได้

มื้ออาหารเที่ยงช่างเป็นอะไรที่เรียบง่าย ง่ายจนออกจะน่าเบื่อ เพราะหนุ่มแว่นผู้โชคดีเอาแต่ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เป็นมินฮยอนซะมากกว่าที่ชวนซองอูพูดคุย เรื่องนั้นเรื่องนี้จนบรรยากาศเริ่มเป็นปกติแบบที่คนปกติเขามากินข้าวกันอ่ะนะ 

โชคที่ผมพกกล้องตัวโปรดมาด้วย หลังจบมื้ออาหารจึงเป็นการเดินเล่นถ่ายรูปในละแวกนั้นจนมาจบที่ริมแม่น้ำฮันกระทั่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

ตลอดทั้งวันที่อยู่ด้วยกัน เขาทำให้ผมลืมภาพบันนี่มินฮยอนไปซะสนิท ลืมคนที่มักจะเจอในขณะเล่นกับร่างกายตัวเองในเสื้อผ้าน้อยชิ้น หรือเปลือยเปล่า เพราะวันนี้เพียงเค่เชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์เข้ารูปไม่ต้องมีเครื่องประดับอื่นๆ ก็ดูดีมากๆ และผมก็ดันชอบแบบนี้มากกว่าซะด้วยสิ

 

 

21.00


“ซองอู”

“ว่าไงครับ”

“สามทุ่มแล้วนะ”

ผมเงยหน้าจากหน้าจอมือถือที้กำลังแต่งรูปในแอพ เพื่อส่งให้มินฮยอน เจ้าตัวขอว่าอยากอัพรูปคืนนี้เลย ผมเลยตั้งหน้าตั้งตาปรับรูปแต่งสีในมือถือจนลืมสนใจคนข้างๆ ไปเสียสนิท


“ครับ เวลาไวจัง”

“ใช่ คือสามทุ่มแล้ว”

“ดึกแล้วนี่นา เดี๋ยวผมรีบแต่งรูปให้นะ”


“ไม่ใช่สักหน่อย!”


ผมไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองตอบผิดอะไร ทำไมหน้าหวานนั่นหุบยิ้มแล้วบึ้งขึ้นเรื่อยๆ อย่างคนหงุดหงิด มินฮยอนไม่พูดอะไรแต่กอดอกมองมาที่เขานิ่งๆ กะจะให้ผมเดาหรอ ได้นะ ว่าหงุดหงิดแน่ๆ แต่เพราะอะไรนี่จนปัญญา


“เอ่อ….”

“ก็จะเที่ยงคืนแล้ว ไม่ขออะไรหน่อยหรอ”

“ขออะไรอ่ะ”

“ก็แบบ  แบบที่”

“ที่?”

“ที่ผู้ชายคนอื่นขอกันอ่ะ”

“อ๋อ  ไม่ล่ะครับ “

“แน่ใจนะ”

“ครับ แค่อยู่จนถึงเที่ยงคืนพอดีเลยได้ไหมครับ”

ร่างขาวหยุดมองผมนิ่งๆไม่พูดอะไร เรามองตากันในแบบที่ไม่ใครเข้าใจ เขาหันหน้ามองออกไปยังแม้น้ำต่อในขณะที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเหมือนกัน ผมเลยเลือกจะเปิดมือถือแล้วแต่งรูปต่อ







ติ้ง ติ้ง

เสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนเครื่องหรูเรียกความสนใจจากร่างโปร่งให้หยิบขึ้นมามอง จนเมื่อเห็นว่าเป็นอัลบั้มรูปจากแอคเคาน์คนข้างๆ ที่เพิ่งแลกกันตอนออกมาถ่ายรูป มินฮยอนละสายตาจากจอมองคนข้างๆ ที่นั่งจิบเบียร์นิ่งๆ ใบหน้าคม คางป้าน จมูกรั้นสันคมใต้กรอบแว่นหนา ใบหน้าและท่าทางที่ดูผู้ช้ายผู้ชาย แต่ทำไมนะ ทำไมคนนี้ถึงไม่เหมือนที่คิดไว้ ไม่เหมือนคนอื่นๆ 


ใช่แล้ว เขาไม่ได้แบบนี้เป็นครั้งแรก เอเจนซี่ของเขามีจัดกิจกรรมแบบนี้อยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่ใช่งานที่อยากทำนักแต่ค่าตัวที่ได้ก็สบายกว่าการถ่ายคลิปหลายคลิปรวมกันซะอีก และที่สำคัญเขาร่างกฏขึ้นมาได้อย่างเช่น ห้ามล่วงเกินทั้งทางกายและวาจา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผมก่อน ซึ่งกฏอะไรแบบนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่าจะปลอดภัยจากเหล่าผู้โชคดีที่อาจจะสติไม่ดี หน้ามืดตาลายเพราะผู้โชคดีทุกคนที่มาจากเว็บผมก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรอ ซึ่งทุกทีก็ไม่ผิดนัก บางคนถึงขึ้นขอซื้อตัวเขาเพื่อหลับนอนต่อก็มี ถึงผมจะทำงานแบบนี้แต่ใช่ว่าจะขายตัวสักหน่อย

แต่กับผู้ชายคนนี้ กลับไม่ใช่…..







23.50


“ซองอู”

“อ่า อีกสิบนาทีเองหรอเนี่ย”

“เราขอเปลี่ยนกฏนิดหน่อยได้มั้ย”

“อะไรครับ”

“ก็ถ้ายนายไม่ขอ เราขอแทนได้ป่ะ”

“ขออะไรครับ ฮ่าๆ”
ร่างสูงหลุดหัวเราอยากตกใจปนแปลกใจที่ถูกถามเรื่องนี้ขึ้นมา อ่ะ ผมก็อยากรู้ คุณดาวเว็บจะขออะไร


“ขำอะไรเนี่ย”

“ปล่าวครับ แค่ตกใจเฉยๆ เลยเผลอหัวเราะ”

“ไม่ขอละ”

อ้าว ก่อนที่ผมจะได้ง้ออะไร ร่างขาวก็ผุดลุกจากที่นั่งอยู่ขึ้นทันทีแล้วเดินกลับไปที่รถ ผมได้แต่มองตามตาปริบๆ พอนึกได้ก็หอบข้าวของวิ่งตามทันที  มินฮยอนครับ!

ดวงตาเรียวเชิดมองมาเล็ดน้อยทำนองว่าให้ปลดล็อครถ ผมมองนาฬิกาแล้วก็พอจะเข้าใจ 24:01 หมดเวลาแล้ว เขาเลยหมดหน้าที่คู่เดท 1 วัน ของผมแล้วเหมือนกัน ผมขึ้นรถประจำที่คนขับ รออีกคนคาดเข้มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก่อนเตรียมจะออกรถ แต่มือที่กำเกียร์อยู่ก็ถูกดึงไว้ก่อน

“รู้หรอว่าจะไปไหน”

“ไปส่งมินฮยอนไงครับ”

“รู้ แต่รู้หรอว่าบ้านเราอยู่ไหน”

ผมอึ้งไปเล็กน้อย ก็รับมาจากบริษัท ไม่ต้องกลับไปส่งที่บริษัทเขาหรอกหรอ กับคนอื่นได้ไปส่งบ้านปบบนี้หรือเปล่านะ คำถามทั้งหมดนี้ผมได้แต่ถามตัวเองแต่ไม่กล้าพูดออกไป กลัวจะก้าวก่ายอีกคน แค่ได้มาใช้เวลากับไอดอลเขาด้วยกันทั้งวันนี่ก็ดีมากแล้ว 


สารภาพเลยว่าก่อนมาในหัวก็คิดดีไม่ได้ แต่พอได้มาเจอกันถึงรู้ว่าบันนี่มินฮยอนในคลิปนั้นจริงๆ ก็วันยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่สมัครใจทำงานสายนี้ ผมไม้รุ้เหตุผลและไม่อยากถามว่าทำไม เพราะผมก็หนึ่งในลูกค้าที่จ่ายเงินให้เขา ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวเองทั้งนั้นเตาเราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ใช่มั้ยล่ะครับ




รู้ตัวอีกทีรถก็จอดเทียบหน้าคอนโดหรูใจกลางเมืองตามคำบอกทางของเจ้าของที่นั่งข้างๆ ผมจอดเทียบกับหน้าทางเข้านั่งรอบอกลาอีกคน แต่ร่างขาวข้างๆ กลับเงียบและนิ่งจนต้องหันมอง

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับมินฮยอน เป็นวันที่ดีมากๆ”

“เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับรูปถ่ายสวยๆ ด้วยนะ”

“ครับ”

เงียบ…. 


ต่างคนต่างเงียบ เขาเองที่ปลดเบลท์แล้วทำท่าจะลงจากรถก็นิ่ง ฟันคมกัดปากอิ่มจนผมกลัวว่ามันจะช้ำ แต่จะให้ถามว่าทำไม่ลงจากรถก็จะดูยังไงอยู่



“ฝันดีนะ”

“เช่นกันครับ”

มินฮยอนเปิดปนะตูลงไปแล้ว ผมมองแผ่นหลังบางเดินเข้าไปในตัวอาคารจนเห็นว่าเดินไปกดลิฟท์แล้วถึงเตรียมจะออกรถกลับบ้าน 




ติ้ง ติ้ง

มือหนาละจากพวงมาลัยก่อนจะหยิบมือถือขึ้นอ่านข้อความนั้น ข้อความสั้นๆ สองประโยคที่ทำเอามืออ่อนเปลี้ย

“ขอบคุณที่วันนี้เป็นสุภาพบุรุษกับเรานะ แล้วก็…”

“พรุ่งนี้ ก็อยากไปถ่ายรูปกับคุณอีกนะ”

 

 

END


Talk : ฟิคลั่นสั้นๆ ตอนแรกกะจะไปสายกามแล้ว ดชคดีว่าหลับก่อนเลยลืมพล็อต 5555 เราบรรยายไม่ค่อยดี ขอโทษไว้ก่อนเลย
ใครอ่านแล้วชอบไม่ชอบยังๆงฝากคอมเนท์ด้วยนะคะหรือติดแท็กคุยกันได้ที่ #ดินแดนองมิน  ก็ได้ค่ะ ยินดีหมดเลย รออ่านน๊า 

 

หนาวนี้ที่ปูซาน

Paring : Daniel x Minhyun

Rate : PG

BGM :  Don’t Forget (잊지마요) – Ha Sung Woon (Ft. Park Ji Hoon)**


ทะเลสีดำ

พื้นน้ำกว้างใหญ่

แสงไฟประภาคาร

ดวงดาวนับร้อย

ดอกไม้ไฟ

ทะเลปูซานหน้าหนาว





ความเหงาพาเรามาพบกัน

.

.

.

ถ้ามีโลกนี้มีสิ่งที่คนเรียกว่าพรหมลิขิต มันก็คงมีอยู่จริงมั้ง



เพียงแต่ผมยังไม่เคยพบมาก่อน






จนกระทั่งคืนข้ามปี







“เชิญอยู่กับแมว กับเกมของเธอต่อไปเถอะ เราเลิกกัน!”

สิ้นเสียง ช่อดอกไม้ขนาดเล็กกระทบเข้ากับแผ่นอกหนาก่อนจะร่วงลงพื้น สายตาคมมองตามช่อดอกไม้ที่เคยอยู่ในมือหญิงสาวบัดนี้กลับนอนนิ่ง ไร้สภาพอยู่ที่เท้าเขา



หมดกัน จบแล้ว ก็ถูกแล้วล่ะที่ถูกทิ้ง ผู้ชายที่วันๆ นอกจากทำงาน กลับบ้านมามีแต่เกมกับเลี้ยงแมว มันจะไปเลี้ยงใครได้ ไปก็ดี ผมเองก็เหนื่อยเต็มทน ทั้งคนทั้งแมว เห้อ…

ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนมือหนาหยิบกระป๋องเบียร์ข้างกายขึ้นมาถุงที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทเล็กๆ หน้าหาดแถวนี้ หลังจากโดนบอกเลิกจนสมองตื้อ นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมานั่งจมปุกอยู่ตรงนี้ รู้ตัวอีกทีก็นั่งจิบเบียร์ไม่สนอากาศหนาวเย็นในเดือนธันวาคมอยู่ริมหาดตรงนี้แล้ว

หนาวก็หนาว แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน จะเดินเข้าผับคนเดียวก็แพงไป ก็ผมมันแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนหนึ่ง พนักงานบริษัทเอกชนใช้คำว่าหาเช้ากินค่ำก็ยังได้ หาเงินมาก็เอาไปลงกับแมวเอย เกมเอย แฟนสาวเอย นี่ขนาดเขาตัวคนเดียวไม่ต้องส่งเสียใครยังไม่พอจะให้ตั้งตัว งานแต่งงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำไมผู้หญิงถึงอยากจะแต่งงานกันนักทั้งที่อยู่ด้วยกันแล้ว มันก็พอแล้วไม่ใช่หรอ หลังจัดงานทุกอย่างก็เป็นเหมือนก่อนวันไม่มีอะไรเปลี่ยน มีแต่จะเปลืองเงินซะเปล่าๆ ผมไม่เข้าใจเลย แค่ผมไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้แปลว่าผมไม่รักเธอหรือเปล่า มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ


“มึงมันแย่! ไอ้ชั่ว”

เสียงก้องสะท้อนเข้าบ้องหูเต็ม ร่างกายถึงกับชะงักกึก มือง้างห่วงกระป๋องเบียร์ค้างไว้ทั้งอย่างนั้น

“ไม่แต่งงานกับกูแล้วจะแต่งกับใคร ไอ้คนเลว ฮืออออ”

ขนลุกแล้วนะ เสียงที่ไหนวะ แถมยังเหมือนอ่านใจผมออกได้อีก ผีแฟนเก่าป่ะวะแต่เธอเพิ่งจะโยนดอกไม้ใส่ผมไปเองนะ แล้วมันใคร… ผมสอดส่ายสายตามองฝ่าความมืดไปรอบข้างก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใด นอกจากต้นไม้และโขดหินโดยรอบ จนสุดท้ายก็เลิกสนใจ ยกเบียร์จิบต่อไปกับตัวเองเงียบ


ในมืออดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นเปิดเบอร์ที่คุ้นเคยไม่ได้ มองเบอร์ที่ไม่ต้องบันทึกชื่อก็กดโทรออกได้อย่างขึ้นใจ มองข้อความในกล่องแชทที่ไม่ต้องรื้อก็รันในหัวสมองได้ ผมจำได้แม้แต่วันก่อนช่วงบ่ายที่เขาขอให้พาไปกินบิงซูหลังเลิกงานด้วยกัน ช่วงเช้าสัปดาห์ก่อนที่ทักมาบ่นเรื่องหัวหน้าด่า หรือวันนี้เมื่อปีที่แล้วที่เธอยอมตกลงย้ายมาอยู่ด้วยกันกับผมหลังจากที่เราคบกันมากว่า 1 ปี ผมจำมันได้ดีถึงจะไม่พูดไป

เธอมักจะบ่นน้อยใจว่าผมไม่ใส่ ไม่เคยสนใจเธอเลยว่าทำอะไร อยู่ยังไง ชอบอะไรหรือเกลียดสิ่งไหน ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ เพียงแค่พูดไม่เก่ง ทำไมจะต้องมานั่งบอกว่าคิดถึงทั้งที่ผมสามารถไปหาเธอได้เลยหลังเลิกงานเพราะวันนี้เธอบอกว่าเหนื่อย ผมไม่พูดว่าสู้ๆ แต่พาเธอไปกินของหวานที่ชอบนั่นก็พอให้เธอหายเหนื่อยแล้วไม่ใช่หรอ หรือมันยังไม่พอ แต่คำถามที่ว่าแล้วเท่าไหร่ถึงจะพอ อันนี้ผมก็จนปัญญาจริงๆ

จะความหนาว ความเหงาจากคืนข้ามปี หรือความเสียใจที่ทำให้น้ำตามันไหลออกมา มือหนายกเบียร์ขึ้นอึกใหญ่ ขย้ำกระป๋องโยนทิ้งไปอย่างหงุดหงิด พลางยกมือปาดน้ำตาลูกผู้ชายทิ้ง หัวเราะเยาะตัวเองอีกสองสามทีในใจ จะว่าเสียดายก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่สุด ครึ่งๆกลางๆไปซะหมด



ฮรืออออออ



เอาอีกแล้วนะ เสียงร้องไห้ใคร ไม่ไหวแล้วนะเฮ้ย ผมหยิบถึงเบียร์ที่เหลือมารอชันเข่าเตรียมจะลุกวิ่ง จนได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นแรงหลังโขนหินพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ที่แรงขึ้น  หรือจะมีคนฆ่าตัวตายแถวนี้ป่ะวะ

กลัวก็กลัวแต่ความสงสัยที่มากกว่าก็พาให้ขาก้าวไปที่โขดหินใหญ่ที่คาดว่าเป็นที่มาของเสียงดังกล่าว ถัดไปไม่ไกลนัก ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็พบกับร่างสูงใหญ่ของคน (คนจริงมั้ย) แต่จากตำแหน่งที่เขาคนนั้นกำลังมุ่งหน้าเดินไปไม่น่าจะอยากเล่นน้ำในเวลานี้แน่ๆ ผมชั่งใจแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกนิดจนแน่ใจแล้วว่าใช่อย่างที่คิด ตัดสินใจโยนถุงเบียร์กอดเสื้อโค้ทแล้ววิ่งเข้าไปห้ามเขาไว้ทันที




“ปล่อยนะ ใคร ปล่อย”

“คุณเป็นบ้าอะไรอ่ะ”

“บอกให้ปล่อยไง!”

ผมยื้อยุดกับร่างนั้นอยู่สักพัก เห็นชัดว่าเขาอ่อนแรง นี่คงจะร้องไห้ไปหนักมาแน่ๆ ด่าผมไปพลางร้องไห้ไปแบบนี้ จนเห็นว่าอ่อนแรงลงเลยตัดสินใจยกขึ้นบ่าแล้วพาออกมาจากหาดเดินจ้ำอ้าวกลับมาที่เดิมที่ผมเคยนั่ง ไม่ยอมเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาหรอกนะ แค่โดนแฟนบอกเลิกก็แย่อยู่แล้ว




“ไอ้บ้า มายุ่งกับเราทำไม ปล่อยนะ”

“คุณทำบ้าอะไร ทำไมคิดสั้นแบบนี้”

“ห้ะ!”

ทันทีที่วางร่างโปร่งลงร่างที่ดิ้นอยู่แล้วทั้งถีบทั้งผลักสารพัด จนผมล้มลงกับหาดไม่เป็นท่าอีกที ถ้าไม่คิดว่าอ่อนแออยู่กูจะเตะคืนแล้วนะ ไอ้ตัวขาวนี่ แต่ก็เข้าใจคนเสียใจจะฆ่าตัวตายมันไม่มีสติหรอก

“คุณต้องมีสตินะ ชีวิตมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะคุณผมเข้าใจดี”

“เดี๋ยวนะ ใครคิดสั้น”

“ก็คุณไง เดินลงทะเลตอนนี้ น้ำก็เย็นเดี๋ยวก็แข็งตายสมใจพอดี”

“เข้าใจอะไรผิดป่ะ”


ผมชะงักไปเล็กน้อย จ้องมองคนตรงหน้าที่หยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังติดสะอื้นเบาๆ เหมือนความงงจะมากกว่าความเศร้าแล้วตอนนี้ ยังไงวะ ผมทำไรผิดอีกแล้ว

“เราแค่จะไปเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปลิวลงทะเล เราไม่ได้ฆ่าตัวตาย”

“…..”

อึ้งกิมกี่ คราวนี้อึ้งจริง ผมได้แต่อ้าปากค้างแบบพูดอะไรไม่ออกเลย อีกคนก็ดูจะอึ้งไม่ต่างจากผม หน้าขาวๆ ที่ร้องไห้จนแดงนั้นงงไปนิดหน่อยแต่หงุดหงิกซะมาก เขาเหมือนรอให้ผมพูดอะไรสักอย่างอยู่ แต่ผมตอนนี้คือจูนสติยังไม่กลับมาเลย

“คุณ!

“คะ ครับ”

“ฮาฮ่าๆๆๆ เอ๋อแดกเลย”

ผมได้แต่หัวเราะแห้งยกมือยีผมตามเขาไป เอ้อ ยังดีที่เขาไม่โกรธมาก บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย ผมลุกขึ้นปัดทรายบนตัวเขาก็เข้ามาช่วยปัดพลางขอโทษที่ผลักผมไปอย่างจัง

“ขอโทษครับ”

“ช่างเหอะๆ ขอบคุณมากกว่าที่เข้ามาตอนนั้น”

“อ่า งั้นผมขอตัวดีกว่าครับ”

พูดจบผมก็เดินกลับไปหยิบถุงเบียร์อันที่ถูกโยนทิ้งไว้เมื่อกี้ แล้วกลับไปที่นั่งตัวเอง เอาจริงๆ ก็หน้าชามากอยู่เหมือนกันเสร่อไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เอาไม่รอดเลย เหอๆ





ผมทิ้งตัวลงนั่งจิบเบียร์กระป๋องใหม่ที่เริ่มรสชืดจากความเย็นที่หายไป รสชาติขมๆ ไหลลงคอกินไปทั้งอย่างนั้น สายตามองออกไปยังคลื่น ผืนน้ำสีดำใต้ดวงจันทร์ดวงใหญ่ เหลือบมองดูนาฬิกาก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าทุกที จะข้ามปีใหม่แบบตัวคนเดียวจริงๆ หรอวะ ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกทิ้งในคืนแบบนี้ เสียงดนตรีและผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลองดังมาจากไกลยิ่งทำให้เหงากว่าตอนปกติซะอีก

“คุณ!  ”

เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นไม่ไกล ร่างโปร่งที่คุ้นตาวิ่งเข้ามาใกล้ที่ผมอยู่ เป็นเขานั่นแหล่ะ เขาวิ่งหอบแฮ่กมาอยู่ตรงหน้าผม โดยที่ไม่ได้ตอบกลับเขาไป

“เรียกก็ไม่ได้ยิน ขาก็ก้าวยาวไปไหนวะ”

“ห้ะ เรียกผม?”

“อือดิ คุณทำนี่หล่น น่าจะตอนล้ม”

ชายคนนั้นเขายืนตัวแล้วยื่นมือที่กำบางสิ่งมาข้างหน้า ในนั้นเป็นกำไลสีชมพูเส้นเล็ก มีพลอยร้อยประดับ ตรงกลางเป็นเงินสลักตัวอักษรย่อสั้นๆ 2 ตัว ไม่บอกคุณคงเดาได้ว่าคืออะไร

ผมมองมือขาวที่ถือกำไลนั่นไว้นิ่งในใจบีบรัดขึ้นมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้ายังในตอนนี้ แต่รู้สึกถึงแรงเบาๆ ที่ไหล่ เขาคนนั้นนั่งลงข้างๆ แล้วลูบไหล่ผมเบาๆ

“คุณ … ”

“ ….. “

“นั่งด้วยดิ”

“ อืม

ฮึก

ผมปาดหางตาออกกเล็กน้อย ชูกระป๋องให้เป็นเชิงเชื้อเชิญ เขามองมาเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจหยิบไป เสียงก๊อก ซ่า ดังขึ้นแป๊บเดียวก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนคนขย้ำกระป๋อง หันไปมองอีกทีมือขาวนั่นปาดคราบฟองที่ริมฝีปาก อีกมือโยนซากกระป๋องนั้นทิ้งข้างตัว ให้เดาก็คงมีเรื่องเครียดมาเหมือนกันล่ะสิ



ความเงียบของค่ำคืน เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมหนาวในคืนนี้ เราต่างจิบเบียร์นั่งกันคนละฝั่งเงียบๆ เหมือนว่าใช้เวลากับตัวเองคนเดียว ทั้งที่ข้างๆ เป็นคนคนแปลกหน้า ใครก็ไม่รู้ บางจังหวะเขาถึงจะชวนผมชนที





“ทำไมคุณมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ”

เป็นเขาที่เริ่มบทสนทนาก่อน แต่ผมควรตอบคนปลกหน้าคนนี้ไหม แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะผมไม่รู้จักเขา เขาไม่รู้จักผม เล่าไปก็คงไม่เสียหาย

“ถูกแฟนบอกเลิกหน่ะ”

“หึ เหมือนกันเลย”

“คุณถูกบอกเลิกวันนี้เหมือนกันหรอ”

“เปล่า สองสัปดาห์แล้วแต่เรามาง้อเขาที่นี่”

“แล้ว …”

“คุณยังจะถามอีกหรอ ฮ่าๆ”

อืม … ผมก็ไม่น่าถาม ไม่อย่างนั้นจะวิ่งลงทะเลทำไม

“ขออีกป๋องสิ”

ผมยื่นมันให้เขา แล้วนั่งมองหน้าหวานๆ นั้นกระดกอย่างเอาเป็นเอาตาย จากที่ปาดฟองเบียร์ตอนนี้ทั้งน้ำหูน้ำตาไหลลงมาเปื้อนหน้าจนไม่รู้จะปาดอะไรก่อน ผิวขาวซีดเริ่มระเรื่อเพียงแค่เริ่มกระป๋องที่สาม แต่ดวงตานั้นแดงกล่ำจากการร้องไห้แล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าผมยื่นมือไปลูบหลังเขาคืนบ้าง

“คุณว่าคนเรารักกัน แล้วทำไมไม่อยากแต่งงานอ่ะ”

“รักกันต้องแต่งงานด้วยหรอ”

“แล้วถ้าไม่จริงจัง จะมาขอคบทำไมแต่แรกวะ ฮะ ฮึก”

“เอ่อ…. ”

“คบกันมาตั้งกี่ปี ไปบ้านตั้งกี่หน อะไรเราก็ยอม ทำไมวะ ฮรืออออ”

“แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้รักคุณสักหน่อย”

“คุณไม่เข้าใจ!”

“อ่า- ครับ”

คนข้างๆ ผมสะอื้นเต็มแรง จากที่พูดคุยดีๆ ตอนนี้ร้องไห้หนัก น้ำหูน้ำตาไหลลงกับบ่าผมที่เขาพิงอยู่จนเปียกเป็นวงกว้าง ก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่เราสนิทกันแล้วหรอวะ มาเช็ดน้ำมูกบนเสื้อคนอื่นเนี่ย -_-

“ขะ ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร ก็คุณเสียใจอยู่นี่”

“ทำไมแฟนเราไม่ดีแบบคุณมั่งวะ”

“ผมก็ไม่ได้ดีหรอก ถ้าดีคงไม่ถูกบอกเลิกแบบนี้หรอก”

เขาซูดน้ำมูกอีกที ก่อนจะช้อนสายตามองอย่างเข้าใจ ปนสงสารในที ซึ่งผมไม่ได้ต้องการหรอกนะ

ตลกดี คนอกหักหักสองคนมาเจอกัน นั่งกินเบียร์เมาที่หน้าหาดเนี่ยนะ


“วะ ว่าแต่ คุณชื่ออะไร ฮึก”

“ดาเนียล, คัง แดเนียล”

“ลูกครึ่งหรอ แต่หน้าคุณคนเกาหลีนะ”

“ก็มีคนบอกแบบนั้น แต่ผมเกาหลีแท้”

“งี้ก็ตั้งเท่ๆ ไปงั้นดิ”

“ต้องถามแม่ผมแล้วนะ ฮ่าๆ”

หลังจากทำความรู้จักคร่าวๆ เราก็เริ่มคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ที่ผมได้รู้จักเขาเพิ่มคือเขาเป็นคนคุยเก่ง ถึงจะบอกว่าตัวเองคุยไม่เก่ง หรือจะเพราะปริมาณแอลกอฮอลล์ที่เพิ่มสูงขึ้นดูจากซากกระป๋องเปล่าที่อยู่รอบข้างเราตอนนี้ กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าจนหมด

เราผลัดกันเล่าเรื่องราวความรักขมๆ ที่เพิ่งจบไป ทำให้ผมรู้ว่า เขาถูกบอกเลิกเพราะอยากแต่งงานแต่แฟนผู้ชายของเขาไม่ได้อยากจะแต่งเพราะรู้สึกถูกผูกมัด ตรงข้ามกับผมที่แฟนผมอยากแต่งแต่เป็นผมซะเองที่ไม่อยาก เหมือนคนละขั้ว เราต่างแลกเปลี่ยนความเห็นกัน บางทีเขาก็ตะโกนกลับมาเฉยๆ แต่บางทีก็ผมเองที่เงียบฉี่เพราะสิ่งที่เขาพูดมา ความรู้สึกของอีกคนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน แฟน(เก่า)ผมเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกันสินะ










23:59

ผมขานเวลาบนหน้าจอมือถือออกมาสั้นๆ พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนเขามองแล้วหัวเราะขึ้นมา ผมเองก็อดไม่ได้จะขำตัวเองเหมือนกัน จะข้ามปีแบบเศร้าๆ แบบนี้หรอวะ

“คุณ จะข้ามปีแล้ว อยากฉลองมั้ย”

“ฉลองอะไร”

“คุณมีไฟแช็คหรือเปล่า”

“คุณสูบด้วยหรอ”

เขาส่ายหน้า แต่ล้วงเอาถุงเล็กๆ บางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวหนา ในนั้นเป็นไฟเย็นเล็กๆ หลายแท่ง แบ่งมันมาให้ผม พยักพเยิดให้รีบจุดไฟ ผมอมยิ้มตามใบหน้าหวานเยิ้มนั้นก่อนจะจุดไฟแช็กอย่างว่าง่าย ทันทีที่ประกายไฟเล็กๆที่เกิดจากแท่งเล็กในมือ เขาวาดไปมาในอากาศเป็นคำที่ผมดูไม่ออกจนมันดับไป แล้วก็เริ่มจุดใหม่อีกครั้ง

ดูๆ ไปใบหน้าขาว ติดจะหวานเหมือนผู้หญิงนั้นก็น่ามองเหมือนกัน ยิ่งเมื่อแสงไฟสะท้อนลงผิวเนียนยิ่งดูผ่องน่ามองจนไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังจ้องใบหน้าเขา แม้เขาจะจ้องกลับมาแล้วผมยังคงถูกแรงดึงดูดไม่ทราบที่มานั้นดึงเอาไว้ ปกติก็ไม่ได้สนใจผู้ชายแต่ยอมรับก็ได้ว่าชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอคนนี้ สวย ขอนิยามคำว่าสวยในแบบผู้ชาย ยิ่งตอนที่เขายิ้มอีก จะเรียกว่าไงดี น่ารัก หรอ? ผมสะบัดหัวไล่ความคิดข้างใน แล้วในตอนที่ดึงสติกลับมาได้ก็พบใบหน้าของเขาก็จ้องมองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน

แสงไฟจากไฟเย็นดับมอดลง






เราจ้องตากันอยู่แบบนั้นนิ่งๆ






ใบหน้าระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอลฮอลชัดขึ้น เมื่อระยะห่างลดลง





ความนุ่มหยุ่นทันทีที่สัมผัส




ความแปลกใหม่กับรสขมปร่าที่ยังอบอวลติดปลายลิ้น





อืมมมมม






เปี๊ยะ!

แต่แล้วก็เหมือนมีประกายไฟฟ้าช๊อตเข้าอย่างจังจนเราทั้งสองผงะออกจากกัน




เมื่อกี้ …

ผม

กับเขา

เรา

จูบกัน

ได้ยังไง

…..



ไร้ซึ่งคำพูดใด มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่จนลูกกระเดือกแทบจะทะลุคอออกมา บรรยากาศที่ผ่อนคลายเมื่อกี้กลายเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมา ความอึดอักกระจายตัวอย่างเข้มข้นไปทั่วบริเวณ เขาเม้มปากแน่นเอียงหน้าหนีอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไงเหมือนกัน ผมมองเขารอดูปฏิกิริยาตอบกลับ ต้องทำไงกับความรู้สึกนี้ แต่ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากอะไรเขาก็ชิงลุกขึ้นพูดตัดบทซะก่อน

“เราว่าเราเมาแล้ว กลับไปนอนดีกว่า”

“อืม ผมก็เหมือนกัน”

“งั้นแยกกันตรงนี้นะ”

“โอเคเลย ฮะ ฮ่า”

ประโยคสุดท้ายก่อนเขาจะเดินจากไปเงียบๆ ส่วนตัวผมทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมกับกองกระป๋องเปล่าพวกนั้น หยิบมันเก็บใส่ถุงรอทิ้งหลังกลับออกไป แต่เพียงแค่หมุนตัวกลับมาก็เจอกับคนที่ขอตัวไปก่อนหน้านี้


“คุณลืมอะไรหรือเปล่า”

“…”

“ลืมถามชื่อเราหรือเปล่า”

“เอ่อ.. แล้วคุณชื่อ”

“มินฮยอน”

“ฮวัง มินฮยอน”



.

.

.

-Spin off

แดเนียล คัง!

ชื่อผมถูกเรียกเสียงดังจนตกใจสะดุ้ง ผมหันเหสายตาจากทะเลเบื้องหน้ามองหาต้นเสียงที่คาดว่าอยู่ไม่ไกลนัก แล้วก็พบกับเขาจริงๆ ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในทิศทางที่ผมยืนอยู่ เขายิ้มให้ผมเต็มใบหน้ามือข้างหนึ่งของเขาจูงเด็กตัวเล็กๆ เข้ามาด้วย มองมองภาพนั้นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้

“ทำอะไรอยู่ตรงนี้อีกแล้วคุณ”

“ก็คิดอะไรนิดหน่อย”

“นิดหน่อยที่ว่าคืออะไร”

ผมอมยิ้มให้กับใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่ทำสีหนารู้ทันนั้น ก่อนจะหันไปก้มมองเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเงยหน้ามองผมตาแป๋ว สลับกับผู้ที่พามา ย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะกระชับตัวเล็กนั้นเข้าอ้อมกอดซึ่งเขาก็ยอมแต่โดยดี

“ยังไม่ตอบเลยนะ คิดเรื่องเดิมอีกแล้วล่ะสิ”

“ครับ”

“เห้อ  สิบปีแล้วนะแดน”

เขาพูดพลางหัวเราะ เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนผมที่เห็นหม่าม๊าตัวเองหัวเราะก็ส่งเสียงคิกคักตาม ทั้งที่คงไม่รู้หรอกว่าทำไม

“เพราะสิบปีแล้วหน่ะสิ เลยยิ่งคิดถึง”

“คิดถึงวันที่ทำให้เราได้เจอกัน จนมีเจ้าตัวเล็กนี่ไง”

ผมกระชับขนที่อุ้มแดเนียลจูเนียร์แน่น ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างดึงมินฮยอนเข้ามาชิดตัว กดจมูกลงแก้มเนียนปลั่งที่ผมชอบ ทำซ้ำอีกข้างกดจมูกแรงๆ จนเจ้าตัวหน้ายู่ แต่ก็ยิ้มกลับมาให้




Happy Ending





Talk : ยาวอีกละเด้ออออออ แล้วก็ครั้งนี้เราลองเปลี่ยนมาเขียนอะไรหวานๆ แบบนี้ดู ไม่มีอะไรนอกจากงานกาวหน่อยๆ (หรอ?) 555555 ตอนแรกคิดอยู่ว่าจะติดแท็ก mpreg มั้ย แต่มันมาแค่นี้อ่ะ ไม่ต้องติดก็ได้เนอะ 555555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ หากใจดีก็ขอคอมเม้นท์ด้วยนะคะ รักส์ 🙂